ไหซอง
ไหซอง หมายถึงไหที่มีซองหุ้มไหนั้นไว้ โดยมากหมายถึงไหน้ำปลาซึ่งเป็นไหเคลือบสีเขียวอ่อนหรือเขียวซีด ซึ่งมีความสูงประมาณ 60 เซนติเมตร ส่วนก้นกว้างประมาณ 15 เซนติเมตร ส่วนกลางป่องออกแล้วเรียวคอดเข้าเป็นคอและผายออกเป็นปาก ซึ่งส่วนคอนั้นจะกว้างประมาณ 12 เซนติเมตร และส่วนปากกว้างประมาณ 15 เซนติเมตร เช่นกัน รอบไหนั้นมี ซอง ซึ่งเป็นหวายสานอย่างหยาบ ๆ คล้ายสาแหรกหุ้มไว้เพื่อใช้แทนหูหิ้ว นิยมใช้ไหซองนี้บรรจุน้ำปลามาจากเมืองจีน เป็นต้น
ไหดอก
ไหดอก หรือ หม้อไหดอก มีลักษณะการใช้งานอย่างแจกันในปัจจุบัน ไหดอกนี้จะเป็นภาชนะดินเผาที่สูงประมาณ 20 เซนติเมตร ฐานและปากกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร ส่วนคอกว้างประมาณ 7 เซนติเมตร ทั้งนั้ส่วนลำตัวของไหดอกนี้นิยมทำให้ป่องอกเล็กน้อย
ชาวบ้านนิยมใช้ไหดอก หรือ หม้อไหดอกบรรจุดอกไม้ทำเป็นแจกันดอกไม้ถวายพระพุทธรูปบนหิ้งในบ้านโดยมาก แล้วมักจะใช้ยอด หมากพู้หมากแม่ คือ หมากผู้หมากเมียปักไว้แทนดอกไม้สด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหมากผู้หมากเมียหาง่ายและทนทาน ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยก็ได้
หม้อไหดอกที่งดงามมากปรากฏเป็นภาพเขียน ที่บริเวณคอสองของวิหารจามเทวี ที่วัดปงยางคก และวิหารน้ำแต้ม วัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ส่วนหม้อดอกที่ชาวบ้านใช้บรรจุยอดหมากผู้หมากเมียเพื่อใช้ประดับบนหิ้งพระ นั้น นิยมจัดไว้เป็น 3 ไหดอก ซึ่งอาจเป็นเพราะจัดเพื่อถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ได้
ไหหลวง
ไหหลวง ตรงกับโอ่งมังกรของไทยภาคกลาง ทั้งนี้ที่เรียกว่า ไหหลวงนั้นขึ้นอยู่กับเหตุสองสถานคือที่เรียก “ ไหนั้น หมายถึงภาชนะที่ทำขึ้นให้ส่วนกลางป่องโตกว่าส่วนปากและส่วนก้นเล็กน้อย และที่มีคำว่า “ ลวง ” ซึ่งแปลว่ามังกร อยู่ด้วย ก็หมายความว่า ไห หรือโอ่งที่ว่านี้มีลายรูปมังกรขดเกี้ยวพันอยู่ นิยมใช้หลวงนี้ในการเก็บน้ำบริโภค แต่ก็พบด้วยว่ามีผู้ใช้หมักปลาร้าหรือใช้บรรจุเหล้าเถื่อนก็มีเช่นกัน
กระด้งหรือโด้ง
เป็นภาชนะเครื่องสานที่ใช้สำหรับฝัดข้าว สานเป็นวงกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50-80 เซนติเมตร ขอบปากทำด้วยไม้ไผ่
เมื่อตำข้าวจนเปลือกข้าวกะเทาะออกแล้ว (เมล็ดข้าวเรียกว่า “ข้าวสาร” ส่วนเปลือกข้าวเรียกว่า “แกลบ”) ก็จะแยกเมล็ดข้าวและเปลือกข้าวออกจากกัน โดยตักข้าวในครกออกมาใส่ในกระด้งหรือโด้ง เพื่อฝัดเปลือกข้าวออกไป
วิธีฝัดข้าว จะตักข้าวที่ผ่านการตำแล้วใส่ในกระด้ง ผู้ที่ทำหน้าที่ฝัดข้าวจะถือขอบปากกระด้งด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วร่อนและโยนข้าวขึ้นไปบนอากาศเป็นจังหวะ เปลือกข้าวจะค่อยๆ กระเด็นออกไปจากกระด้ง ในกระด้งก็จะเหลือเพียงข้าวสารและปลายข้าว
“เหิง” (เครื่องสานคล้ายกระด้ง แต่มีตาห่างกว่ากระด้ง) เพื่อร่อนปลายข้าวออกจากข้าวสาร
หม้อดิน
เป็นเครื่องปั้นดินเผาที่ทำจากดิน ปั้นด้วยมือ เป็นรูปทรงต่าง ๆ นำไปตากแดดจนได้ที่ จึงนำมาเผา
วัตถุดิบที่ใช้
ดินเหนียว
กระบวนการผลิต
นำดินเหนียวแช่น้ำเพื่อให้ดินอ่อน นำมาผสมกับดินเชื้อซึ่งทำจากดินร่วนกับแกลบที่เผา และบดละเอียด แล้วนำมาปั้นด้วยมือ เป็นรูปทรงต่าง ๆ นำไปตากแดดจนได้ที่จากนั้นจึงนำมาเผา
การใช้/ประโยชน์
ใช้บรรจุน้ำดื่ม น้ำใช้ หรือหุงต้มอาหาร
หม้อกา
หม้อกา ( อ่าน “ หม้อก๋า ”) หมายถึง กาต้มน้ำซึ่งเป็นภาชนะเครื่องครัวตามแบบของวิถีชีวิตปัจจุบัน เพียงแต่เรียกให้มีสำเนียงล้านนา คือ “ ก๋า ” หมายถึงกาต้มน้ำ แต่มีคำว่า “ หม้อ ” เสริมเพื่อจำแนกความเป็นภาชนะ มิให้เข้าใจว่าเป็น “ อีกา ” ซึ่งหมายถึงสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง
หม้อแกง ( อ่าน “ หม้อแก๋ง ”)
หม้อแกง เป็นภาชนะที่ใช้ในการปรุงอาหารโดยเฉพาะประเภทแกง มีหลายขนาด ซึ่งชาวบ้านจะเลือกให้พอเหมาะกับการปรุงอาหารในครอบครัวของตน โดยปกติแล้วหม้อแกงทั่วไป จะมีความกว้างประมาณ 8 นิ้ว สูงประมาณ 4 นิ้ว เป็นภาชนะที่มีรูปทรงเตี้ย ปากภาชนะผายออก มีก้นตื้นเหมาะแก่การใช้ประกอบอาหาร ก้นกลม ชนิดมีหูจะมีหูจับทั้งสองข้างที่ปากหม้อ ใช้สำหรับประกอบอาหารทั้งต้มและแกงก่อนการใช้หม้อแกง ชาวบ้านจะล้างเสียก่อนโดยนำไปตั้งบนเตาติดไฟและเอาแกลบหรือถ่านที่ยังไมิ่ด ไฟใส่ในหม้อนั้น ปล่อยให้ไฟแรงขึ้นจนแกลบหรือถ่านติดไฟแล้วปล่อยให้ไฟราและให้หม้อเย็นลงเอง เชื่อว่าจะช่วยมิให้มีน้ำหยดลงจากหม้อแกงนั้นในขณะใช้งาน
หม้อน้ำ
หม้อน้ำ เป็นภาชนะดินเผาที่ใช้สำหรับบรรจุน้ำดื่มหรือน้ำใช้ในบ้านเรือนทั่วไป ซึ่งจะมีการแยกขนาดตามการใช้งานหม้อน้ำที่พบมีขนาดเฉลี่ยนความกว้างประมาณ 12 นิ้ว สูง 10 นิ้ว มีลักษณะอ้วนกลมมีฝาปิด โดยทั่วไปมักจะไม่มีลวดลายแต่หากจะมีลวดลายประกอบแล้วมักจะทำเป็นลายเชิง อยู่บริเวณคอหม้อ และจะเรียกหม้อน้ำที่มีลวดลายนี้ว่า หม้อน้ำดอกหม้อน้ำเท่าที่พบมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ
หม้อก้นเรียบ จะมีขนาดใหญ่อ้วนกลมและหนักกว่าหม้อน้ำชนิดอื่น ลักษณะก้นหม้อจะเรียบตั้งได้ ปากหม้อกว้างตัวหม้ออ้วน ที่คอหรือไหล่หม้อทำลายหยักยกเป็นขอบและมีการตกแต่งด้วยลายขูดขีดเป็นริ้ว ปากหม้อทำเป็นขอบกลมประมาณ 0. 5 นิ้ว
หม้อก้นกลม มีลักษณะก้นกลม ตัวหม้อกลม ไม่มีการทำคอและไหล่หม้อ ลักษณะคล้ายหม้อสาว แต่ขนาดเล็กและสูงเพรียวกว่า ที่ฝาหม้อมีการตกแต่งด้วยลายขอบหยักเช่นกันเวลาตั้งจะใช้ตั่งหม้อคอยประคอมิ ให้ล้ม ตั่งหม้อดังกล่าวอาจเป็นกะละมัง เศษกระเบื้อง หรือเศษไม้ไผ่ที่เหลือจากการเหลามาขดแล้วมัดเป็นวงกลม ใช้รองก้นหม้อไม่ให้ล้ม
หม้อที่มีเชิงหรือตีน เป็นหม้อที่มีเชิงหรือตีนตั้งได้ ตัวหม้ออ้วนสูงเพรียว ปากแคบ ขอบปากกลมหนาประมาณ 0.5 นิ้ว คอและไหล่หม้อมีการตกแต่งด้วยลายขูดขีด และไหล่หม้อทำเป็นขอบหยัก ฝาหม้อมีการตกแงด้วยลายหยักเช่นกัน
การขึ้นรูปน้ำหม้อใช้การขึ้นรูปโดยการใช้ไม้ตีและหินดุเป็นการขึ้นรูปแบบเส้นขดเวลาใส่น้ำดื่ม บางแห่งใส่หินที่เก็บมาจากแม่น้ำหรือลำธารต้นน้ำ เป็นหินสีขาวหรือสีแดงเรียบกลม ขนาดประมาณ 1 นิ้ว ใส่ไว้ 3 ก้อน เชื่อว่าทำให้น้ำในหม้อเย็น และไม่นิยมล้างตัวหม้อด้านนอก ปล่อยให้พืชจำพวกมอสหรือเฟินขึ้น ทำให้น้ำในหม้อเย็น นอกจากนี้การทำลวดลายขูดขีดรอบตัวหม้อทำให้เพิ่มพื้นผิวในการระเหยของน้ำ ทดให้น้ำนั้นเย็นอีกด้วย
ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับหม้อน้ำดื่มนี้ เมื่อถึงวันสงกรานต์หรือปีใหม่เมือง จะนิยมเปลี่ยนหม้อน้ำใหม่ โดยเชื่อว่าเมื่อนำหม้อใหม่เข้าบ้านจะพบแต่สิ่งใหม่ ๆ ดี ๆ ตลอดปี และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของบ้าน ส่วนหม้อน้ำใบเดิมก็มักจะนำไปใส่น้ำในครัว ใส่น้ำล้างเท้า ปลูกต้นไม้ หรือคว่ำไว้เฉย ๆ
หม้อน้ำ ถ้ามีขนาดบรรจุน้ำประมาณหนึ่งปี๊บ และตั้งอยู่ในห้องน้ำสำหรับอาบน้ำ จะเรียกว่าหม้อน้ำอาบ หากมีขนาดย่อมลงมากกว่านี้หรือเป็นแบบเดียวกับหม้อน้ำดื่ม แต่ตั้งไว้ในบริเวณสำหรับล้างภาชนะ จะเรียกหม้อน้ำดังกล่าวว่า หม้อน้ำซวะ หากเป็นหม้อน้ำขนาดค่อนข้างใหญ่แต่ก้นเรียบ ตั้งไว้ในบริเวณเชิงบันไดบ้าน จะเรียกว่า น้ำหม้อซ่วยตีน คือหม้อบรรจุน้ำสำหรับล้างเท้า เป็นต้น
หม้อนึ่ง
หม้อนึ่ง หรือหม้อสำหรับใช้การนึ่งอย่างนึ่งข้าวในชีวิตประจำวัน เป็นภาชนะดินเผาทรงเตี้ยมีขอบปากยื่นเฉียงออกมาเพื่อใช้รองรับไหสำหรับนึ่ง ข้าว เป็นต้น คอจะคอดเข้าก้นกลม
การขึ้นรูปหม้อหนึ่งจะกระทำด้วยมือตกแต่งด้วยลายขูดขีดที่ตัวหม้อเทานั้น ขนาดที่พบโดยเฉลี่ยเส้นผ่าศูนย์กลางราว 12 นิ้ว สูงประมาณ 7 นิ้ว
เมื่อได้หม้อมาใหม่นั้น หากจะนำหม้อนึ่งไปใช้งานนึ่งข้าวทันทีแล้วก็อาจไม่ได้กินข้าวเลยก็ได้ เพราะมักจะมีน้ำซึมลงจากหม้อเป็นระยะ ๆ และถ้าซึมมากอาจถึงกับทำให้ไฟดับก็ได้ ดังนั้นในการใช้ต้องลางหม้ออย่างเดียวกบหม้อแกงเสียก่อนจึงจะได้ ในกรณีหม้อนึ่งนี้อาจลางโดยใช้คร่งทาไปตามก้นหม้อ ด้านในเพื่อทำลดการรั่วซึมของหม้อนึ่งได้
ส่วนความเชื่อที่เกี่ยวกับหม้อหนึ่ง คือ การเสี่ยงทายด้วยผีหม้อหนึ่ง ผีย่าหม้อนึ่ง หรือ ผีปู่ดำย่าดำ ชาวบ้านเชื่อกันว่าผีหม้อนึ่งสามารถปกปักษ์รักษาเจ้าบ้านได้ บางครั้งจะมากกว่าผีเจ้าที่อีก โดยมีคำบอกเล่าว่า ครั้งหนึ่งผีตนหนึ่งจะเข้าบ้าน ผีเจ้าที่สู้ไม่ได้ ผีหม้อนึ่งจึงมาสู้และเอาชนะได้ ซึ่งอาจเป็นความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการเคารพนับถือข้าว การให้ความสำคัญของข้าวที่เป็นอาหารหลักของชาวล้านนา ในการเสี่ยงทายด้วยการลงผีหม้อหนึ่ง จะทำในกรณีที่ลูกหลานไม่สบาย เด็กร้องไห้งอแง นิยมทำในตอนเย็น โดยประกอบหม้อหนึ่งกับไหข้าวเหมือนตอนนึ่งข้าว เอาไม้มาพาดทำเป็นแขนและเอาเสื้อมานุ่ง จัดกระด้งหรือถาดข้าวสารไว้เบื้องหน้ามีดอกไม้ธูปเทียนบูชา และให้ผู้หญิงช่วยกันประคอง เมื่อถามถึงอาการป่วยไข้หรือเด็กไม่สบายด้วยคำถามนำเพื่อให้ผีหม้อนึ่งตอบ รับหรือปฏิเสธ โดยหม้อหนึ้งจะสั่นหรือใช้ “ มือ ” ทำเครื่องหมายบนถาดข้าวสาร เช่น ในกรณีที่เด็กเกิดมาไม่นานแล้วร้องไห้ ชาวบ้านจะถามว่าเป็นใครมาเกิด แล้วอยากได้สิ่งใดรับขวัญ และให้ใครเป็นผู้รับขวัญ เช่น ตามาเกิด อยากได้ของเหลืองก็ต้องนำสิ่งของที่มีสีเหลือง เช่น ทอง หากไม่มีเงินซื้อ ก็ใช้เพียงเหรียญสตางค์เจาะรูผูกไว้ที่ข้อมือ เชื่อว่าเด็กจะอยู่สบายไม่ร้องไห้อีกต่อไป
เรือ
เป็นยานพาหนะที่ใช้เดินทางทางน้ำ เรือโดยทั่วไปโครงสร้างประกอบด้วยตัวเรือเป็นโครงสร้างที่สามารถลอยน้ำได้ (ซึ่งอาจเป็นส่วนเดียวหรือสองส่วนขนาดกันก็ได้ แต่ไม่รวมถึงแพซึ่งปกติโครงสร้างลอยน้ำจะทำจากกระบอกกลวงหลายๆท่อนผูกติดกัน) กับ ส่วนที่เป็นการขับเคลื่อนของเรือ เช่น ไม้พาย (เรือพาย หรือ เรือแจว) เครื่องยนต์หางยาว (เรือหางยาว) ใบเรือ (เรือใบ) เป็นต้น
ส่วนประกอบของเรือ
สันท้องเรือด้านหน้า ผนังด้านในท้องเรือ ดาดฟ้าเรือ ท้องเรือ กราบเรือ ครีบท้องเรือ คานยึดครีบท้องเรือ หางเสือ ท้ายเรือ
เสื่อลำแพน
เครื่องจักสานชนิดหนึ่ง มักสานด้วยตอกไม้ไผ่เส้นใหญ่ ๆ แบน ๆ ซึ่งเรียกว่า ตอกปื้น ที่ทําด้วยหวายหรือเส้นใยเปลือก ไม้ก็มี ใช้ปูหรือทําเป็นแผงใช้กั้นหรือกรุเป็นฝาเรือนเป็นต้น.
วัสดุ
ไม้ไผ่
วิธีการทำ
๑. ตัดลำไม้ไผ่เป็นท่อนยาวตามต้องการ จักไม้ไผ่เป็นแผ่นกว้างประมาณ ๑.๕ - ๒.๐ เซนติเมตรเหลาเกลาให้เรียบร้อย
๒. ขึ้นลายโดยวางเส้นตอกตามแนวตั้ง ๑ ชุด แล้วใช้ตอกอีกชุดหนึ่งสอดจับลายตามแนวนอนทีละเส้นจนเต็มขนาดแผ่นเสื่อตามต้องการ เสื่อลำแพนนิยมสานเป็นลายสอง
การประยุกต์ใช้
๑. ใช้ปูรองผลิตผลทางเกษตรในฤดูเก็บเกี่ยว เช่น ข้าว ข้าวโพด ถั่วเขียว เป็นต้น
๒. ฉาบทาด้วยน้ำมันทาพื้น ใช้กรุผนังห้อง ฝ้าเพดาน
เสิง ใช้วางปุยฝ้ายเพื่อเลือกฝ้ายที่ไม่ดีออกและใช้วางดอกฝ้ายตากแดด

อิ๊ว ใช้หีบเพื่อเอาเมล็ดฝ้ายออก

ตะลุ่มยิงฝ้ายและกงยิงฝ้าย ใช้ดีดฝ้ายให้เป็นปุยละเอียด เพื่อนำไปล้อฝ้าย

ไม้กระดานและไม้ล้อมฝ้าย ใช้ล้อฝ้ายให้เป็นแท่งกลมๆ เพื่อนำไปเข็น

หลา ใช้เข็นฝ้ายให้เป็นเส้นด้ายยาวติดต่อกันหรือใช้ปั่นหลอด (กรอหลอดด้าย)

เปีย ใช้เก็บเส้นด้ายที่เข็นแล้วออกจากหลาเพื่อทำเป็นกำหรือใจ

กวัก ใช้ใส่เส้นด้าย เพื่อให้เส้นด้ายยาวติดต่อกัน แล้วจึงนำไปค้นเครือ

กงกวักฝ้าย ใช้ใส่เส้นด้ายที่เป็นกำหรือใจ เพื่อนำไปกวัก หรือ ปั่นหลอด

เผือ ใช้สำหรับค้นเครือหูก (ทำด้ายเส้นยืน)

ฟืม นำด้ายเส้นยืนใหม่มาสืบต่อด้ายเส้นยืนเดิมทีละเส้นให้เต็มหน้าฟืม เพื่อใช้ฟืมตีเส้นด้ายพุ่ง

เหา ใช้ใส่เส้นด้ายยืนสลับล่างและบน เพื่อขัดสานเส้นด้ายพุ่ง

ไม้ก้อหลอด ใช้พันเส้นด้ายพุ่ง แล้วจึงนำไปใส่ในกระสวยทอผ้า

กระสวย ใส่ไม้ก้อหลอด เพื่อเตรียมการทอ

กี่ทอผ้า ใช้ขึงเครือหูก (ด้ายเส้นยืน) เพื่อเตรียมการทอ

ไม้กี่พั้น ใช้ใส่หัวเครือหูก (กกหูก) และไว้สำหรับพันผ้าที่ทอเสร็จแล้วก่อนจะตัดออกจากกี่

ไม้หาบเหา ใช้ห้อยเชือกที่แขวนฟืมและเหา (เขา หรือ ตะกอ)

ไม้หย่ำตีน (ไม้เหยียบ) ใช้เหยียบสลับไปมาเพื่อเปลี่ยนเส้นด้ายยืนให้ขัดสานสลับกัน

หลักบ๊ากา ใช้ยึดไม้กี่พั้น เพื่อให้ผ้าทอตึง

ไม้แป้นกี่ ใช้สำหรับนั่งทอผ้า

ไม้โป้งเป้ง ใช้แขวนเหา (แขวนเขาหรือตะกอ)

ซ้าหลอด (ตะกร้าใส่หลอด) ตะกร้าใส่หลอดด้ายสำหรับทอ

ขนเม่น ใช้ทอผ้าตีจก

ไม้แป้นขิด ในการทอผ้ายกดอกจะใช้ไม้แป้นขิดง้างเส้นด้ายยืน เพื่อสอดกระสวยเส้นด้ายพุ่งให้เกิดลวดลาย

ไม้ผัง ใช้ขึงกับหน้าผ้า เพื่อให้ผ้าที่จะทอมีความตึง

บ๊าเหง็น ใช้สำหรับใส่กวัก เพื่อกวักเส้นด้ายให้ยาวเรียงติดต่อกัน

หวีหูหมู ใช้สางเส้นด้ายยืนที่ขึงในกี่แล้วให้เป็นระเบียบ ทำให้ด้ายเครือไม่พันกัน

เชือกมัดหูก ใช้มัดเส้นด้ายยืนให้ตึง จะใช้ตอนที่ด้ายยืนใกล้จะหมดเครือ

ไม้ไขว้หูก ใช้ขัดสานเส้นด้ายยืน เพื่อให้เส้นด้ายยืนขัดสานกันได้สะดวกขึ้น

ไม้หาบข้าว คันหลาว(ไม้หาบข้าว)
ลักษณะทั่วไป ไม้หาบกล้า (บางถิ่นเรียกคันหลาว) ไม้ที่ทำเป็นคานหลาวใช้ไม้ไผ่ลำตรง ๆ คานหลาวแต่ละอันมีความยาวประมาณ 2 เมตร ชาวบ้านจะนำไม้ไผ่ไปผึ่งแดดให้แห้งหรืออาจลนไฟก็ได้ เหลาข้อไม้ไผ่ให้เรียบไม่ให้มีเสี้ยน จากนั้นจะใช้มีดเสี้ยมปลายไม้ไผ่ทั้งสองข้าง ตรงส่วนล่างที่ตอกมัดข้าวหรือบางแห่งก็ใช้ต้นข้าว มัดขมวดไว้ไม่ให้หลุด ซึ่งเรียกกันว่า เขน็ดข้าว ปากฉลามทั้ง 2 ข้างจะมีความยาวประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร
ประโยชน์ใช้สอย ใช้สำหรับหาบต้นกล้าเพื่อนำไปปักดำ ใช้ หาบฟ่อนข้าวไปที่กองข้าว ซึ่งรวมกันไว้เป็นกองใหญ่ ๆ ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อจะใช้เกวียนหรือรถบรรทุกฟ่อนข้าวไปลานนวด นอกจากใช้หาบฟ่อนข้าวแล้วชาวนายังใช้หาบแฝก หญ้าคา และฟ่อนหญ้า
ขั้นตอนการใช้งาน ใช้สำหรับเสียบตรงกลางฟ่อนข้าวเพื่อใช้หาบ การที่จะใช้กระบุงแล้วใช้ไม้คานหาบฟ่อนข้าวนั้น หาบได้ครั้งละไม่กี่ฟ่อนก็เต็มกระบุงแล้ว การใช้คานหลาวจึงมีความเหมาะสมกว่าเพราะหาบได้ทีละหลาย ๆ ฟ่อน
ชื่อสามัญ น้ำเต้า เป็นเต้าเป็นภาชนะที่ใช้ใส่น้ำดื่มคอกน้ำเต้า
ประวัติความเป็นมา น้ำเต้าเป็นชื่อของผลไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งให้ผลที่มีรูปซึ่งเรียกกันว่า ทรงน้ำเต้า มีลักษณะคอกลมเรียวยาว และส่วนล่างพองออกเป็นทรงกลมชาวบ้านสมัยโบราณนิยมนำมาแคะเนื้อออกเก็บไว้ใส่น้ำดื่มเวลาเดินทางไปทำงานนอกบ้าน เช่น ไปทำนา ทำสวน เป็นภาชนะที่มีขนาดเบาถือไปมาสะดวก ปัจจุบันน้ำเต้าหายาก ชาวบ้านจึงใช้เครื่องปั้นดินเผาซึ่งปั้นให้มีรูปทรงเหมือนน้ำเต้าแทนน้ำดื่มจากน้ำเต้า จะมีความเย็นตามธรรมชาติ
อุปกรณ์การผลิต ผลิตน้ำเต้า มีด ช้อนด้ามยาว ดินเหนียว แท่นปั้น น้ำ เตาเผา
วิธีใช้
1. นำผลน้ำเต้าที่มีขนาดแก่จัดเต็มที่มาตัดเปิดคอน้ำเต้าด้านบน ใช้ช้อนด้ามยาวล้วงควักเอาเนื้อข้างในออกให้หมดเหลือไว้เฉพาะเปลือง นำไปล้างให้สะอาดตากแดดให้แห้งหรือรมควันไฟเพื่อให้มีความทนทานและกันขึ้นราทำฝาปิด ด้านบนคำน้ำ
2. กรณีที่ทำจากดิน นำดินเหนียวที่ละเอียดปราศจากสิ่งเจือปนอื่น ๆ เช่นเศษไม้หิน มาบดเข้ากันให้เป็นเนื้อเดียวนำขึ้นแทนปั้นเป็นรูปทรงน้ำเต้าข้างในทำเป็นโพรงไว้เขียนลวดลายด้วยเหล็กแหลมหรือไม้ตามต้องการ นำน้ำเต้าที่ปั้นได้ทรวดทรงดีแล้วไปเข้าเตาเผาเผาจนได้ที่รอให้เย็นแล้วทิ้งไว้สักระยะหนึ่งจึงนำมาใส่น้ำดื่มได้
ก่อนใช้ล้างน้ำเต้าให้สะอาดทุกครั้ง เทน้ำสะอาดซึ่งได้แก่น้ำฝนหรือน้ำบ่อที่ใช้ดื่มใส่ลงในน้ำเต้า แล้วปิดฝา เวลาดื่มอาจจะยกดื่มได้เลยหรืออาจจะเทใส่แก้วน้ำก่อนก็ได้ น้ำเต้าจะจุน้ำได้ประมาณ 3-4 ลิตร
อีดฝ้าย
ทำจากไม้มีเกลียวคล้ายฟันเฟือง ใช้ปั่นหรืออีดเมล็ดฝ้ายออกจากปุยฝ้าย
ล้อเกวียน
เกวียนจะมีล้อขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.40-1.60 เมตร ทำด้วยไม้เนื้อแข็งมีกำ 16 ซี่ เพื่อทำหน้าที่กงล้อแข็งแรงมั่นคง และเป็นตัวเชื่อมติดต่อกับดุมด้วย
รอก
รอก ( Pulley ) เป็นเครื่องกลที่ใช้สำหรับยกของขึ้นที่สูง หรือหย่อนลงต่ำ มีลักษณะเป็นล้อหมุนคล่องรอบตัว และมีเชือกพาดล้อสำหรับยกวัตถุและดึงวัตถุ
ตุ้มปลาไหล
ทำจากไม้ไผสานเป็นทรงสูง มีทำสำหรับปลาไหลเข้าไปใช้สำหรับดักปลาไหล โดยใช้เหยื่อล่อไว้ด้านใน
ไม้กวาด
ไม้กวาดมีไว้ทำความสะอาดบ้าน โดยส่วนมากจะออกแบบให้มีที่แขวนได้ มีด้ามให้ง่ายสำหรับจับถือ และมีห่วงสามารถแขวนได้อย่างสะดวก
วิธีเก็บรักษา คือ ไม่ควรเก็บไม้กวาดโดยเอาทางด้านขนปักกับพื้น เพราะจะทำให้หมดอายุการใช้งานเร็ว ถ้าไม่มีห่วงสำหรับแขวน ควรใส่ห่วงหรือเจาะรูที่ปลายด้าม แล้วใช้เชือกร้อย ทำห่วงสำหรับแขวน สำหรับไม้กวาดที่มีขนแข็ง ควรชุบน้ำให้เปียกบ้าง เพื่อไม่ให้เปราะหักง่าย
ตู้ยาประจำบ้าน
เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับครอบครัว เมื่อเกิดเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เราไม่จำเป็นต้องพึ่งหมอ หรือโรงพยาบาลทุกครั้งไป เนื่องจากโรค หรืออาการเจ็บป่วยทั่วไปบางอย่าง สามารถรักษาได้ด้วยตนเอง เช่น ไข้หวัด ลมพิษ ท้องอืด- ท้องเฟ้อ ท้องเสีย และหากเกิดป่วยในยามดึกดื่น การไปสถานพยาบาลกลางดึก อาจจะลำบาก ไม่สะดวก โดยเฉพาะ ในชนบทที่ห่างไกล อีกทั้งยังลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ หากเรารู้จักรักษาตนเองโดยเบื้องต้นได้
เบ็ดก่อง
ลักษณะและวิธีการใช้
เบ็ดก่อง เป็นเบ็ดสำหรับจับปลาในน้ำตื้นและนิ่ง คันเบ็ดทำด้วยไม้ไผ่ยาวประมาณ ๒ ฟุตครึ่งถึง ๓ ฟุต เหลาให้ด้านโคนกลม เสี้ยมปลายให้แหลม ส่วนด้านปลายทิ้งปมไว้ ถัดจากปมเหลาให้แบน โดยรักษาผิวไม้ไว้ตรงส่วนปลายถัดจากปมลงมาใช้ด้ายผูกไว้ให้แน่น ปลายด้ายผูกตะขอเบ็ดสำหรับเกี่ยวเหยื่อ ด้ายนี้ยาวทั้งสิ้นประมาณฟุตครึ่ง เครื่องมือที่ใช้เหลาเบ็ดก่องที่แพร่หลายที่สุดคือ มีดเหลา ซึ่งเป็นมีดที่มีใบมีดสั้นและมีด้ามยาวกว่าหลายเท่า
วิธีปักเบ็ด ใช้โคนของคันเบ็ดปักลงในดินริมน้ำ หรือบนคันนาที่มีน้ำขัง ใช้ไส้เดือนเกี่ยวตะขอเบ็ดและปล่อยลงใต้ผิวน้ำ ปกติชาวนาจะปักเบ็ดไว้ในตอนค่ำและกู้เบ็ดในรุ่งเช้าต่อมา จำนวนเบ็ดที่ทำและนำไปปักมากน้อยแล้วแต่พื้นที่ของแหล่งน้ำ แต่โดยทั่ว ๆ ไปมักทำไว้จำนวนมากครัวเรือนละหลายสิบอัน เพราะทำง่ายและใช้งานสะดวก
ประโยชน์
เบ็ดก่อง เป็นเครื่องมือที่ทำง่าย ใช้ง่าย และเหยื่อก็หาง่าย ทั้งยังปักทิ้งไว้โดยไม่ต้องเฝ้า จึงเป็นเครื่องมือที่มีใช้ทั่วไปในสังคมเกษตร นอกจากนี้การเหลาไม้ทำเบ็ดก่องยังเป็นบทฝึกงานช่างเบื้องต้นของลูกผู้ชายชาวล้านนาในสังคมเกษตรด้วย
 กบไสไม้
กบ เครื่องมือช่างไม้สำคัญอีกชนิดหนึ่ง เป็นเครื่องมือแปรรูปไม้ให้ผิวเรียบและได้รูปทรงตามต้องการ ประโยชน์ใช้สอยหลัก ๆ ของกบคือ ไสให้ผิวหรือหน้าไม้เรียบ การเรียกชื่อกบมักเรียกตามรูปร่างและลักษณะการใช้สอย เช่น กบคิ้ว กบโค้ง กบทวาย กบนาง กบบรรทัด กบบังใบ กบบัว กบราง ส่วนประกอบของกบมีดังนี้
ตัวกบ แต่เดิมทำด้วยไม้ก่อนจะทำด้วยเหล็ก นิยมใช้ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ชิงชัน เพราะแข็งและเหนียว ตัวกบมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยม มีขนาดแตกต่างกัน เช่น กบนางขนาดยาวกว่ากบกระดี่ที่มีขนาดเล็กและสั้น ค่อนไปทางท้ายกบเจาะเป็นช่องให้เอียงไปด้านหลังเล็กน้อยสำหรับใส่ใบกบ ด้านหน้าเจาะเป็นช่องให้ขี้กบออกและช่องบังคับลิ่ม เรียก นม โบราณนิยมใช้เหล็กกลม ๆ สอดขวางบังคับลิ่มให้กระชับใบกบ เลยช่องใส่ใบกบทางท้ายเจาะรูกลมหรือรี สำหรับสอดไม้ให้ทะลุออกมาทั้งสองข้างเป็นมือจับ
ใบกบ แผ่นเหล็กบาง ๆ กว้างเท่ากับช่องตัวกบ ยาวมากกว่าความหนาของตัวกบ ปลายด้านหนึ่งเอียงลาดคมคล้ายคมสิ่ว ตอนบนมีช่องทะลุตามความยาวของใบสำหรับใส่สลักเกลียวจากฝาประกับเพื่อยึดให้แน่น
ฝาประกับ แผ่นเหล็กมีความกว้างและหนา ปลายด้านล่างโค้งเข้าหาใบกบ ตอนบนด้านหลังมีสลักเกลียวสำหรับยึดกับช่องใบกบเพื่อขันให้แน่น ฝาประกับจะบังคับไม่ให้ขี้กบติดค้างอยู่ในช่อง ทำให้ไสไม่สะดวก
ลิ่ม แผ่นไม้กว้างเท่าใบกบ ส่วนบนหนากว่าส่วนล่าง ใช้ตอกอัดช่องระหว่างฝาประกับกับนม ให้ฝาประกับกับใบกบขัดกันแน่นอยู่ในตัวกบ
มือจับ ไม้แท่งกลมหรือรี ด้านหนึ่งใหญ่ปลายเรียว ใช้สอดเข้าไปในตัวกบ ให้ยื่นออกด้านข้างทั้งสองข้าง ยาวพอให้จับได้สะดวก
ส่วนประกอบและรูปร่างของกบแตกต่างกันบ้างตามลักษณะการใช้งานและความนิยมของช่าง กบสำหรับใช้งานทั่ว ๆ ไปที่น่าสนใจมีดังนี้
กบล้างไม้ กบสำหรับไสปรับผิวไม้ให้เรียบครั้งแรก ขณะที่ไม้ยังมีรอยคลองเลื่อยอยู่ เรียกว่า ไสลบคลองเลื่อย
กบกระดี่ ใช้ไสตกแต่งไม้บังใบบานประตูและบานหน้าต่าง ๆ หลังจากใช้กบบังใบไสแล้ว ถ้ายังไม่เรียบจึงใช้กบกระดี่ไสตกแต่งอีกครั้งหนึ่ง กบ
กระดี่ไสได้ทั้งสองด้าน เพราะใบกบมีความยาวเท่ากับความกว้างของตัวกบประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 35 เซนติเมตร
กบคิ้ว ใช้สำหรับตกแต่งวงกบหรือกรอบประตูหน้าต่างที่ติดกับลูกฟักให้เป็นเส้นตื้นหรือลึก เพิ่มความงดงาม
กบโค้ง กบที่มีผิวหน้าโค้ง ใช้ไสปรับผิวไม้ให้มีความโค้งเฉพาะด้านในเท่านั้น
กบท้องโอน แบบท้องกลมใช้ไสไม้ที่เป็นราง แบบท้องเว้าโค้งขึ้น ใช้ไสไม้หลังเต่า
กบทวาย ใช้ไสแต่งผิวไม้รูปโค้ง โดยเฉพาะผิวด้านใน ตัวกบและส่วนประกอบทั้งหมดทำด้วยโลหะ
กบนาง ใช้ไสปรับผิวไม้ให้เรียบ หลังจากไสด้วยกบล้างไม้แล้ว เพื่อให้ผิวไม้ที่อาจยังเป็นคลื่น เป็นหลุมหรือขรุขระให้เรียบ ก่อนนำไปแปรรูปเป็นสิ่งต่าง ๆ ต่อไป
กบบรรทัด ใช้ไสปรับผิวไม้ให้เรียบและเป็นเส้นตรงได้ระดับเดียวกันตลอดความยาวของผิวไม้ กบชนิดนี้จึงยาวกว่ากบชนิดอื่น คือยาวประมาณ 45-60 เซนติเมตร
กบบังใบ ใช้สำหรับปรับแต่งขอบของพื้น ฝา เพื่อบากให้เข้ากัน และใช้ไสแต่งวงกบ กรอบบานประตู บานหน้าต่าง และช่องแสง เพื่อเข้าไม้ลูกฟัก หรือแผ่นกระจก หรือช่วยบังคับการเปิดปิดไม่ให้แสงลอดหรือน้ำรั่ว
กบบัว ใช้ไสปรับไม้ให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ตามต้องการ เช่น บัวคว่ำบัวหงาย ครึ่งวงกลม รูปเล็บมือ หน้ากบมีรูปร่างและขนาดตามขนาดของไม้ที่ต้องการไส
กบราง ใช้ไสทำรางตามวงกรอบประตู กรอบหน้าต่าง หรือลูกตั้งลูกนอนของฝาประกน หรือไสทำรางใส่กระจกหรือไม้ลูกฟัก
เครื่องมือช่างไม้และเครื่องมือช่างชนิดต่าง ๆ ของช่างไทยนั้น นอกจากจะมีรูปทรงและทำด้วยวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว ยังแสดงถึงความคิดที่แยบยลในการสร้างเครื่องมือเครื่องใช้ โดยเฉพาะช่างพื้นบ้านที่มักสร้างเครื่องมือใช้เอง ด้วยการเลือกสรรวัสดุเท่าที่หาได้และใช้งานได้ดีมาทำ เช่น การทำกบไสไม้ ช่างจะเลือกไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง ไม้เต็ง ไม่ใช้ไม้เนื้ออ่อน เพื่อให้ใช้งานได้ทนทาน ขณะเดียวกันก็ทำรูปทรงให้สอดคล้องกับการใช้งาน สิ่งเหล่านี้เป็นความคิดพื้นฐานในการออกแบบที่มีอยู่ในตัวช่าง เป็นประสบการณ์ในการทำงานที่หล่อหลอมให้เกิดความคิดในการสร้างรูปแบบต่าง ๆ ประหนึ่งเป็นทฤษฎีการออกแบบที่ศึกษากันในสถาบันการศึกษา เครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้านจึงเป็นสิ่งสะท้อนภูมิปัญญาของช่างไทย ได้ดีอีกอย่างหนึ่ง

น้ำต้น
น้ำต้น เป็นภาชนะใส่น้ำแบบล้านนาชนิดหนึ่ง เป็นภาชนะดินเผาแรงไฟต่ำ มีลักษณะทรงสูงคล้ายขวด ตัวน้ำต้นอ้วนกลม มีคอยาว ปากเล็ก มีขนาดประมาณ 6.5 นิ้ว (วัดที่ตัวน้ำต้น) สูงประมาณ 10 นิ้ว ทั่วไปมักจะมีสีแดงอิฐ
ในการปั้นน้ำต้นนั้น นิยมขึ้นรูปโดยการใช้แป้นหมุนและปั้นด้วยมือเป็นส่วน ๆ นำมาประกอบกันเมื่อดินยับไม่แห้งมีการตกแต่งด้วยลายกดประทับและลายขูดขีด บางชนิดพบว่ามีฝาเล็ก ๆ ปิดที่ปากด้วยในแง่ประโยชน์ใช้สอยแล้วน้ำต้นใช้สำหรับใส่น้ำไว้ใช้ดื่มบนเรือนและใช้รับแขกโดย วางไว้ที่เติน (อ่าน เติ๋น) หรือห้องอเนกประสงค์ นอกจากนี้ น้ำต้นยังใช้สำหรับใส่น้ำไว้บนหอเจ้าทรง หอผีปู่ย่าด้วย
ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับน้ำต้น เชื่อว่าน้ำต้นเป็นของสูงจึงใช้สำหรับใส่น้ำในพิธีกรรมต่าง ๆ หรือกิจกรรมที่มีเกียรติ เช่น ต้อนรับแขก ตั้งไว้บนหอผีหอเจ้าทรง เวลาฟ้อนผีก็ใช้น้ำต้นสำหรับใส่น้ำเพื่อบวงสรวงเซ่นไหว้ผี เป็นต้น
ปกติชาวบ้านมักจะไม่ใช้น้ำต้นอย่างพร่ำเพรื่อ หากไม่ใช้งานแล้ว มักจะเก็บไว้โดยการคว่ำไว้บนค่วน หรือที่เก็บของเป็นตะแกรงตาห่างกรุอยู่แทนเพดานเรือน

กุบ
กุบ หมายถึง หมวกมีปีกทำจากไม้ไผ่สานประกบกัน ๒ ชิ้นกรุด้วยวัสดุจำพวกใบไม้ ที่สวมสานด้วยไม้ไผ่ การทำกุบเริ่มจากการขึ้นโครง โดยใช้ไม้จริงถากเป็นโครงไว้ภายใน ภายนอกใช้ตอกเส้นเล็ก ๆ วางเรียงขัดตามพิมพ์ของกุบ เมื่อได้โครงแล้ว นำออกจากพิมพ์ก่อนที่จะใช้กระดาษสาหรือผ้าพลาสติกทาบไว้บนโครงที่สำเร็จ จากนั้น ยึดริมด้วยไม้ไผ่เหลา โดยทำให้โค้งกลมตามรูปของกุบ และตกแต่งโดยตัดโครงไม้ที่ยื่นออกมาจากกุบ เพื่อความสวยงาม
ในอดีตกุบเป็นเครื่องใช้ชนิดหนึ่งในชีวิตประจำวันของชาวบ้านทว่ายุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้ความสำคัญของกุบลดน้อยลง หากไม่นับชาวไทยใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ยังใช้กุบในชีวิตประจำวัน ผู้ที่ใช้กุบในปัจจุบัน ยังคงมีแต่ชาวไร่ชาวสวน
ขันโตก
ประเพณีการเลี้ยงขันโตก เป็นประเพณีของชาวเหนือที่นิยมปฏิบัติสืบต่อกันมา ตั้งแต่โบราณ การเลี้ยงแขกโดยการกินข้าวขันโตก ซึ่งอาจมีหลายชื่อทีใช้เรียก ขานกัน เช่น กิ๋นข้าวแลงขันโตก หรือเรียกสั้นๆ ว่า ประเพณี ขันโตก หรือสะโตก
"ขันโตก" เป็นวัฒนธรรมในการรับประทานอาหารแบบหนึ่งของชาวภาคเหนือ เป็นรูปแบบการรับประทานโดยการ นั่งบนพื้นเรือนและมีการแสดงพื้นบ้านของชาวเหนือ เพื่อใช้ในการต้อนรับแขกคนสำคัญ โดย จัดสำรับอาหารใส่ในภาชนะรอง ที่เรียกว่า "ขันโตก" หรือ "โตก"
"ขันโตก" หรือ "โตก" เป็นภาษาดั้งเดิมของชาวเหนือ หมายถึงภาชนะสำหรับวางรอง สำรับอาหาร บางที่เรียก "สะโตก" มีรูปร่างทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ ๓๐ เซนติเมตรขึ้นไป ความสูงประมาณ ๑ ฟุต มีทั้งที่ทำจากไม้ และหวาย
ขันโตก มีใช้กันทั่วไปในภาคเหนือ โดยที่สมาชิกในครอบครัวหรือแขกที่มาบ้าน จะนั่งล้อมวงกันรับประทานอาหาร นอกจากจะใช้วางถ้วยกับข้าวแล้ว ยังใช้โตกเป็นภาชนะ สำหรับใส่เข้าของอย่างอื่นด้วย โดยเปลี่ยนชื่อเรียกตามสิ่งของที่ใส่
ก๋วย
ก๋วย เป็นภาชนะเช่นเดียวกับเข่งของภาคกลาง ใช้ใส่สิ่งของต่างๆ ถ้าใส่หมูเรียก ก๋วยหมู ใส่ไก่เรียก ก๋วยไก่ ฯลฯ
ฝักมีด
ฝักมีด เป็นฝักมีด หรือปลอกมีด สานด้วยไม้ไผ่รูปร่างแบนๆ มีปากสำหรับเสียบมีด เพื่อป้องกัน คมมีด ใช้พกพาโดยคาดไว้กับเอว
เครื่องโม่แป้ง
เครื่องโม่แป้ง เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับโม่ข้าวให้เป็นน้ำแป้ง
ตะกร้าหรือซ้า
ซ้า ในความหมายของชาวล้านนาตรงกับ “ ตะกร้า ” ในภาษาไทยกลาง ซึ่งเป็นภาชนะสานให้โปร่ง มีหลายรูปร่างและหลายขนาด มีลักษณะที่ร่วมกันคือสานขึ้นอย่างง่าย ๆ ใช้สำหรับใส่สิ่งของต่าง ๆ เช่น ผัก ผลไม้ มีเชือกสำหรับหิ้วหรือหาบคอนเหมือนกระบุง และซ้านี้จะมีเป็นคู่หรือเดี่ยวก็ได้
ฮอก
งัว ควาย ในสมัยก่อนมีค่าเทียบเคียงกับรถเก๋ง ความมีฐานะของผู้คน ดูได้จาก ปริมาณ งัว ควาย ดังนั้นเมื่อมี งัว ควาย มากๆ หลายสิบหลายร้อยตัว จึงเลี้ยงในลักษณะ เป็นงัวหมู่เป็นฝูงๆ อาชีพเลี้ยง งัว ควาย จึงมีอยู่ทั่วไปชาวบ้านเจ้าของ งัว ควาย จึงทำเครื่องแขวนคอ งัว ควาย ที่เรียกว่า ฮอก ( กระดึง ) ใช้สำหรับแขวนคอ งัว ควาย เพื่อประโยชน์ ในการรู้ตำแหน่ง ของสัตว์เป็นสำคัญ ถ้าแขวนคอ งัว เรียกว่า ฮอกงัว ถ้าหากแขวนคอควาย เรียกว่า ฮอกควาย ฮอกถ้าแบ่งตามวัสดุที่ทำ แบ่งได้ ๒ ชนิด คือชนิดที่ทำจากไม้ และชนิดที่ทำจากโลหะ ฮอกที่ทำจากไม้ มักทำจากไม้สัก ไม้ดู่ ไม้เหล่านี้นำมาจากเศษไม้ หัวไม้ รากไม้ ที่ไม่ใช้ประโยชน์อื่นใดแล้ว นำมาเหลา ตกแต่ง ให้เป็นรูปกลม รี แล้วแต่งขนาดที่ต้องการ ขนาดของฮอก ถ้าเป็นขนาดใหญ่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ ๕ – ๖ นิ้ว ขนาดกลาง๓ -๔ นิ้ว ขนาดเล็ก ๒ นิ้ว ฮอกมีรูปร่างหลายอย่าง เช่น ฮอกที่มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุมโงกลมเล็กน้อย มีค้อนหลาย ๆ ตัวห้อยอยู่ข้างใน ตรงกลางเหมือนระฆังลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ผาราง ผาราง นี้มักใช้แขวน งัว ตัวที่เป็นจ่าฝูง เพราะมีเสียงดังกังวาล ทุ้มกว่า ฮอก และฮอกที่แขวนเป็นพวงเรียกว่า หม่ากะหล๊ก การเลี้ยงสัตว์ ชาวบ้านใช้ฮอกเป็นสัญญาณ ให้รู้ตำแหน่งของสัตว์

ไซหัวหมู - สานตาห่าง
รูปทรงกลมยาม ท้ายรวบ หัวตัด มีงาสวมใช้สำหรับดักปลาตะเพียน ปลาหมอ ปลากระดี่ นิยมดักกลางคืน
กวัก
กวัก เป็นคำนาม ความหมายหนึ่งหมายถึง เครื่องใช้ในการปั่นฝ้ายในกระบวนการทำเส้นฝ้าย เรียก "กวัก" หรือ "บ่ากวัก" ซึ่งทำด้วยตอกผิวไม้ไผ่นำมาสานด้วยตาหกเหลี่ยม รูปร่างคล้ายชะลอมปากผาย ประโยชน์คือใช้สำหรับช่วยในการกรอหรือสาวเส้นฝ้าย ส่วนอีกความหมายหนึ่ง หมายถึงชื่อของนกเป็ดน้ำซึ่งคนล้านนาเรียกนกชนิดนี้ว่า "นกกวัก" หรือ "นกหวัก" นกดังกล่าวมีชื่อสามัญว่า White - breasted Waterhen ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Amaurormis Phoenicurus ในวงศ์ Rallidae เป็นนกที่มีลักษณะลำตัวสั้น ขาและนิ้วเท้ายาว หลังและปีกสีน้ำตาลอมแดง ลำตัวด้านล่างและหน้าผากสีขาว ชอบหากินตามริมฝั่งน้ำ ชอบเดินหรือวิ่งมากกว่าบิน
ในด้านความเชื่อ ชาวล้านนาเชื่อว่า "กวัก" หรือ "บ่ากวัก" ในความหมายแรกนั้น มีผีประจำอยู่ จึงมักมีพิธีเล่นผีบ่ากวัก ซึ่งจะเชิญผีเข้าสิงบ่ากวัก เพื่อให้ผีทำนายเหตุการณ์หรือเชิญมาร่วมการละเล่นในงานสงกรานต์ โดยเรียกพิธีนี้ว่า "ลงผีบ่ากวัก"
พิธีเล่นลงผีบ่ากวัก จะวางบ่ากวักให้ปากคว่ำลง ใช้ไม้สอดตาให้ทะลุสองข้าง กางออกคล้ายแขนคน แล้วเอาเสื้อสวมโดยให้มีหัวโผล่และมีแขน จากนั้นจึงเอาข้าวตอกดอกไม้บูชาพร้อมกล่าวคำเชิญ สักครู่หนึ่งบ่ากวักจะมีน้ำหนักและเริ่มเอนเอียงไปมา แสดงว่าผีบ่ากวักได้มาสิงสู่ตามคำเชิญแล้ว คนในพิธีต้องช่วยกันประคองไว้
การลงผีบ่ากวักมักจะทำในลานที่โล่ง เมื่อผีเข้าสิงแล้วจะฟ้อนให้ดู ยิ่งถ้ามีการขับเพลงประกอบ มีการปรบมือให้จังหวะ ผีก็ยิ่งฟ้อนด้วยความสนุกสนาน เพลงดังกล่าวมีเนื้อร้องดังนี้
อี่แม่นางกวัก ผีดว็กผีแด่
อี่แม่แหย็กแหย่ อี่แม่สวยลาย
แม่สายต๋าฮ้อย ฮ้อยดอกซอมพอ
ห้อยหอปราสาท ดังอืดอาดซุ้มมืดซุ้มดำ
หลับฝันหัน สูเจ้าสูน้อง
ลงมาฟ้อน เต๊อะนางกวักเฮย ฯ
การลงผีบ่ากวัก นอกจากผีจะฟ้อนแล้ว บางครั้งจะมีการนำสิ่งของไปซุกซ่อนไว้นอกบริเวณแล้วให้ผีพาไปหา ซึ่งส่วนใหญ่จะหาพบทุกรายไป
สาด
สาด ของล้านนามีความหมายสองประการ คือ หมายถึงพรรณไม้ชนิดหนึ่งในจำพวกต้นคล้า นิยมตัดต้นมาผ่าตากแดดให้แห้งแล้วขูดเนื้อในออกให้เหลือแต่ส่วนผิว และใช้ส่วนผิวดังกล่าวสำหรับสานเสื่อ และอีกความหมายหนึ่งของสาด แปลว่า เสื่อ ( “ เสื่อ ” ในภาษาไทลื้อแปลว่า “ ฟูก ” )
สาด ปกติทำจากไม้ไผ่หรือหวายที่จักให้เป็นเส้นบางและยาวสานสอดกันไปมาให้เป็นผืน ซึ่งอาจมีลวดลายต่างๆ ตามที่เห็นงาม อีกทั้งมีขนาดและรูปแบบหลายอย่างต่างกันไป ตามลักษณะการใช้งานสาดเป็นเครื่องใช้ที่จำเป็น โดยเฉพาะบนพื้นที่ปูด้วยฟากสับหรือแคร่ไม้ไผ่ เป็นต้น
เมื่อแขกผู้มีเกียรติหรือผู้ที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกันไปถึงบ้านแล้ว เจ้าบ้านพึงปูเสื่อให้แขกนั่งแล้วจัดเอาน้ำต้นหรือคนโทและขันหมากมาสู่แขก
เมื่อเสื่อมีความสำคัญอย่างนี้ การเก็บส่วนเชาแต่โบราณจึงมีการเก็บส่วยเป็นเสื่อด้วย ดังปรากฏในหนังสือพื้นเมืองเชียงราย – เชียงแสน ซึ่งเป็นใบลานของวัดเมธังกราวาส อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ บันทึกไว้ว่า “ ...หื้อข้าลวะชาวดอย...หื้อเขาส่วนสาด ๒๐ ผืน... ”
• สาดคะลา (อ่าน “ สาดก๊ะลา ” )
สาดคะ ลา มีความหายอย่างเดียวกับเสื่อกะลาของภาษาไทยกลาง คือเป็นเสื่อชนิดหยาบ ทำจากตอกไม้ไผ่ที่ทำให้มีขนาดค่อนข้างใหญ่และหนา สานให้เป็นผืนขนาดใหญ่ มีความกว้างมากกว่า ๒ เมตรขึ้นไป เคยปรากฏในตำราโคลงกลบทล้านนาบทหนึ่งว่า
สัพพะคุณอยู่เรือนคำๆ คะ
พะเพิกเรือนตะหละขะลุ ลา
สิปอยูดอยู่ๆ อยะมิ่งเอ่ไพ มุง
ปากองแกงกินส้าตูบทุ้มคะลา นอน
ถอดกลโคลงว่า
สัพพะคุณอยู่เรือนค้ำ คำคะ
พะเพิกเรือนตะหละขะ ลุล้า(หลุหล้า)
สิปอยูดอยู่อยะ มุงมิ่ง ไพเอ่
ปาก่อแกงกินส้า ตูบทุ้มคะลานอน
ซึ่ง แปลจากคำกระทู้ได้ว่า “ สัพพะสิปปาคะลามุงนอน ” อันแปลความได้ว่า มัวแต่เรียนวิชาต่างๆ อยู่นั่น ในที่สุดก็เหลือแต่เสื่อกะลาคุ้มหัวเท่านั้น
สาดคะลานี้ อาจเรียกว่า สาดเถิ้ม (คือเสื่อผืนขนาดใหญ่และหนาหนัก) ได้อีกด้วย
วิธีทำ
คัดเลือกไม้เฮี้ยคือ ไม้ซางที่ลำต้นตรงและมีขนาดของปล้องยาว มีอายุตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป คือไม้ที่แตกหน่อเป็นไม้ในปีนี้ เมื่อถึงปีหน้าหลังจากหน่ออื่นโตเป็นเล่มแล้ว ที่เรียกว่า “ ไม้ที่หันหน้าน้องแล้ว ” แต่แก่ไม่ควรเกิน ๓ ปี ให้เลือกเอาต้นที่ปลายยาวไม่ด้วน (เพราะไม้ไผ่ทุกชนิดที่ปลายด้วน เนื้อของไม้จะไม่แน่นและไม่เหนียว) เมื่อได้ไม้และตัดมาแล้วก็ตัดออกเป็นปล้องๆ ผ่าแต่ละปล้องออกเป็นกีบ แต่ละกีบกว้างประมาณ ๑.๐ -๑.๕ เซนติเมตร จากนั้นจึงจักออกเป็นตอกความหนาของเส้นประมาณ ๑ มิลลิเมตร เมื่อจักแล้วนำไปตากแดดสัก ๑ แดด คือ ๑ วัน
การสาน
เมื่อจะลงมือ นำเอาตอกไปแช่น้ำสัก ๕ นาที เพื่อให้ตอกเหนียว สถานที่จะสานก็ที่พื้นดิน บริเวณใต้ร่มไม้ หรือใต้ถุนเรือน สานด้วย “ ลายสอง ” เมื่อสุดตอกก็ต่อตอกโดยการเสียบต่อไปเรื่อยๆ จนได้ความกว้างความยาวตามที่ต้องการ จากนั้นจึง “ เม้มริม ” คือพับริมให้มีคามตรงเสมอกัน
การใช้
สาดคะลา เป็นสาดที่ทำขึ้นใช้ในการเกษตรกรรมโดยเฉพาะ เพื่อปูให้คนนั่งวาต้นกล้าและมัดกล้าในช่วงถอนต้นกล้า ใช้ปูรองข้าวเปลือกในตารางหรือลานนวดกลางทุ่งนาในช่วงของการเก็บเกี่ยว นอกจากจะใช้ในการทำนาแล้ว สาดคะลายังใช้ปูรองตากพืชผลทาบางการเกษตร ใช้ปูในโรงครัวชั่วคราวเพื่อทำอาหารเมื่อมีงานเกิดขึ้นในบ้านและยังใช้บัง แดดได้อีกด้วย
การเก็บรักษา
เมื่อใช้งานเสร็จแล้ว ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถูทั้ง ๒ ด้าน แล้วนำออกตากแดด หลังจากนั้นจึงม้วนแล้วผูกด้วยตอก ถ้าจะใช้ดียิ่งขึ้นก็ให้นำไปรมควัน แล้วจึงเก็บโดยการผูกแขวนไว้ข้างบนหรือใต้ถุนยุ้งข้าว เพื่อรอใช้ในโอกาสต่อไป
• สาดเจ้าที่
เสื่อสำหรับเทพารักษ์ นี้คือเสื่อที่มีขนาดเล็กตามความกว้างยาวของหอเจ้าที่ มักเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า สานด้วยกิ่งของต้นแหย่ง (ต้นคล้า)
วิธีทำ
ตัดเอากิ่งต้นแหย่ง ความสั้นยาวเลือกเอาตามที่ต้องการ จากนั้นจึงผ่าครึ่ง แต่ถ้าต้องการความละเอียดก็ผ่าออกเป็น ๔ กีบ จากนั้นจึงหักเอาเยื่อข้างในของแหย่งออกให้เหลือแต่ผิวเท่านั้น นำไปตากแดดให้แห้ง เมื่อจะลงมือสานนำไปแช่น้ำสัก ๒๐ นาที จึงนำออกมาสานด้วยลายทาน เหมือนกับการสานสาดแหย่ง
การใช้งาน
ใช้ปูพื้นของหอเจ้า ที่ หรืออารักษ์ผู้ดูแลสถานที่ให้มีความสะอาดเรียบร้อย เพื่อให้เจ้าที่ได้นั่งนอนตามความเชื่อของคน เมื่อปูเสื่อไว้นานประมาณ ๓-๔ ปี แล้วก็จะรื้อออกและเปลี่ยนผืนใหม่
สาดตองขาว (อ่าน “ สาดต๋องขาว ” )
เสื่อ ชนิดนี้ทำจากผิวของลำต้นพรรณไม้ล้มลุกมีเหง้า ชื่อ สาดตองขาว อันเป็นชนิด Phrynium parviflorum Roxb. ในวงศ์ MARANTACEAE ซึ่งเมื่อผ่าลำต้นสาดตองขาวตากให้แห้งและขูดเอาเนื้อในออกหมดแล้วสานเป็น เสื่อ เสื่อนี้จะให้ผิวที่เรียบเป็นมันและมีสีขาว นิยมใช้ปูนั่งและนอนในบ้าน
หาก ใช้วัสดุอย่างเดียวกันสานเสื่อที่มีขนาดกว้างประมาณ ๗๐ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๑๘๐ เซนติเมตร มีผ้าหุ้มตามขอบ ใช้สำหรับกรณีที่ค่อนข้างจะศักดิ์สิทธิ์ เช่น ใช้ปูบนอาสนาหรือพุทธอาสน์เพื่อที่ “ พระพุทธ ” จะบรรทม ผู้เฒ่าผู้แก่ใช้ไปปูนอนเมื่อไปรักษาศีลในวัด และใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องใช้ที่ติดไปกับปราสาทหรือเมรุบรรจุศพ
เสื่อชนิดที่ว่านี้จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สาดบ่าง
สาดเติ้ม
สาด เติ้มหรือสาดเหลม เป็นชื่อเสื่อชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันทั่วไป เพราะสาดเติ้มมีความนุ่มนวล เมื่อเวลาที่ปูนั่ง ปูนอนเป็นสาดที่มีน้ำหนักเบา ม้วนเก็บง่าย ทำขึ้นง่ายและเร็ว มีราคาถูก กว้างกว่าสาดยาว ทำขึ้นจากต้นอ้อชนิดหนึ่ง ลำต้นกลม สูงประมาณ ๑.๕๐ เมตร ขึ้นตามเชิงดอยหรือบนดอย เมื่อตากแห้งแล้วผิวด้านนอกมีสีน้ำตาลอ่อน ผิวเป็นมัน ข้างในของต้นเป็นเยื่อคล้ายกับส่วนในของต้นแหย่ง เปรา หักง่ายมีดอกสีขาว
การทำ
เมื่อถึงฤดูแล้งต้น อ้อชนิดนี้จะออกดอก ชาวบ้านจะตัดกันในช่วงนี้ โดยตัดที่โคนต้นแล้วตัดปลายทิ้ง จากนั้นจึงนำมาตากให้แห้งซึ่งจะมีสีคล้ายกับต้นข้าวแห้ง เมื่อตัดมาแล้วคัดขนาดไว้รวมกันเป็นกองๆ แล้วจึงนำไปสานทอด้วยฟืมที่ทอผ้าโดยใช้เส้นด้าย ป่าน หรือปอเป็นเส้นยืน เมื่อทอไปถึงขนาดที่ต้องการแล้วก็ตัดเชือกตัวยืนออก ให้เหลือติดที่ปลายเสื่อยาวสัก ๑๐ เซนติเมตร เมื่อจะได้ผูกเข้าด้วยกันกับเชือกเส้นอื่นเป็นคู่ๆ เพื่อป้องกันต้นอ้อเลื่อนหลุดออกจากผืนเสื่อ
การใช้งาน
ใช้ปู นั่ง ปูนอน บนบ้านเรือน ใช้ผูพื้นบ้านเป็นที่ทำงานภายในบ้าน ปูให้พระสงฆ์นั่ง ปูรับแขก เป็นสาดที่มีน้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายได้ง่ายแต่เป็นเสื่อที่ไม่ค่อยจะทนทาน ถ้าปล่อยให้ถูกฝนถูกแดดก็ยิ่งเสียเร็ว เพราะมีการหดตัวหรืองอตัวของต้นอ้อ เมื่อใช้ไปนานๆ ต้นอ้อจะแฟบบางแล้วแตกกร่อน การเก็บใช้วิธีม้วนแล้วตั้งพิงไว้
สาดถุ้ง
สาดถุ้งหรือสาดล้อ เป็นเสื่อที่ใช้ปูบนเรือนล้อ (อ่าน “ เฮือนล้อ ” ) คือเรือนเกวียน เรียกชื่อตามลักษณะของรูปที่ทำขึ้น คือมีมุม มีก้น มีรูปเป็นถุง จึงเรียกกันว่า สาดถุ้ง
วิธีทำ
ใช้ ไม้เฮี้ยที่มีอายุ ๑ ปีขึ้นไป ส่วนการจักใช้วิธีการดังกับตอกที่ใช้สาดสาดกะลาและก็สานด้วยลาย ๒ เหมือนกัน แยกสานออกเป็น ๒ ท่อนตามความยาวของเรือนเกวียน แต่ละท่อนยาวเกินครึ่งของเรือนล้อ ประมาณ ๒๐ เซนติเมตร มุมที่ติดกับมุมของเรือนล้อสานหักพับขึ้นเป็นรูปสามเหลี่ยม
การใช้งาน
ใช้ปู เรือนล้อวัว เมื่อมีการบรรทุกข้าวเปลือก หรือเมล็ดพืชที่มีขนาดเล็ก โดยปูเสื่อ ๒ ท่อนนั้นตามมุมของล้อตามคยามยาวให้ตรงกลางซ้อนกัน จากนั้นจึงใช้สาดวงเวียนรอบข้างในอีกทีหนึ่ง เมื่อตักข้าวเปลือกหรือเมล็ดพืชออก ที่เหลือติดส่วนล่างก็ยกเสื่อเป็นท่อนแล้วเทวัตถุที่บรรทุกออก เป็นการง่ายต่อการขนย้ายวัตถุนั้นออก
• สาดไทหย่า
สาดไทหย่า เป็นเสื่อที่ทอจากกกซึ่งชาวไทหย่าเป็นกลุ่มที่คิดทำขึ้น ซึ่งเริ่มแต่ครั้งที่ชาวไทหย่าเดินทางจากประเทศจีนเข้ามาอาศัยอยู่ ณ หมู่บ้านป่าสักขวาง จังหวัดเชียงราย โดยเริ่มตั้งแต่ ๔ ครอบครัวเดินทางมาเพื่อจะเข้ามาอยู่ที่ป่าสักขวางแต่ก็ถูกปล้นลางทาง หลายครอบครัวต้องกระจัดกระจายกันไป หนีกลับถิ่นเดิมเสียก็มี ๔ ครอบครัวดังกล่าว คือ
๑. ครอบครัวลุงใส อ่านแต๋น
๒. ครอบครัวลุงหลวง นางใจ
๓. ครอบครัวลุงจาย นางใจ
๔. ครอบครัวลุงแก้ว นางอ่าน
ทั้ง ๔ ครอบครัว ได้หลบหนีไปพักอยู่ที่บ้านปุ่นซาบประเทศจีนเหมือนกัน และต้องพักอยู่ที่นั่นถึง ๔ คืน ในระหว่างที่พักบ้านปุ่นซาบนั้น เขาได้เที่ยวไปมาในแถบนั้นและก็ได้พบต้นกก และคิดว่าคงเป็นประโยชน์แน่ ลุงจายจึงขุดใส่กระบอกติดตัวมา ๓ ต้น แล้วได้เดินทางเข้ามาในเมืองไทยที่บ้านป่าสักขวาง ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ และก็ได้เพาะชำไว้ประมาณ ๓ ปี ก็ตัดมาตากและนำมาทอเป็นผืนเสื่อเพื่อใช้เองและนำไปขายต้นกกก็ได้แพร่ขยาย พันธุ์ออกไปตามหมู่บ้านต่างๆ ใกล้เคียงและนำไปเป็นเสื่อจนถึงทุกวันนี้
ลักษณะของต้นกก (ไหล)
กก เป็นพืชที่ปลูกง่าย โตเร็ว และไม่ต้องระวังมากนัก กกชอบขึ้นอยู่ในที่ลุ่มลำคลอง แต่ก็ไม่เพียงพอกับการนำมาทอเสื่อ จึงมีการปลูกกกขึ้น ขั้นแรกมีการไถพื้นดินให้ซุยแบบเดียวกับการทำนา แล้วนำหน่อกกที่มีรากเหง้ามาปลูกลงในดินที่ไถไว้ โดยปลูกห่างกันประมาณ ๑ คืบ เมื่อปลูกได้ประมาณ ๖ เดือน ก็ตัดไปใช้ได้ ตัดกกที่ปลูกนี้ได้ ๓ ครั้ง เอตัดครั้งแรกมันจะงอกขึ้นมาอีก แล้วตัดครั้งที่ ๒-๓ พอถึงฤดูแล้งต้นกกจะตายหรือไม่ก็เหลือเพียงเล็กน้อย แต่ที่เหลือจริงๆ คือ รากเหง้าที่อยู่ในดิน พอถึงฤดูฝนหน่อก็จะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนมากการปลูกกกนั้น จะปลูกในสวน เพราะสะดวกต่อการรักษาต้นกก กกจะขึ้นได้ดีนั้นต้องมีการใส่ปุ๋ย ใส่ได้ทั้งปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี มีการพรวนดิน ดายหญ้า เพื่อให้ต้นกกขึ้นได้ดี
ขั้นตอนการปลูก
๑. ขั้นแรกของการปลูกนั้น จะต้องมีการเตรียมดินและไถดินให้ละเอียดพอสมควร แล้วปล่อยแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ ๒-๓ วัน และกำจัดวัชพืชต่างๆ ออกให้หมด แล้วทำการไถคราดอีกครั้งก็ทำการปลูกได้
๒. การเพาะกล้า จะใช้การปักชำต้นกล้า ต้องขุดต้นกกออกจากแปลง แล้วนำไปปักชำไว้ประมาณ ๒๐ – ๓๐ วัน เพื่อที่จะให้ต้นกล้าที่เพาะแข็งแรงและแตกหน่อ จึงได้ขยายหน่อให้ได้เป็นจำนวนมากๆ การปลูกใช้ระยะเวลา ๔ เดือน ถึงจะเก็บเกี่ยวได้
๓. ส่วนการปลูกกกนั้น ทุกขั้นตอนก็ทำเหมือนการปลูกข้าว
อุปสรรคในการปลูกต้นกก
๑. หญ้า เป็นศัตรูของต้นกกชนิดหนึ่ง ต้องคอยระวังอย่าให้หญ้าขึ้นเบียด เพราะหญ้าจะแย่งอาหารจากต้นกก ถ้าหากมีหญ้าขึ้นแล้วก็จะทำให้ต้นกกแตกหน่อช้าและต้นกกก็จะไม่งามเท่าที่ควร
๒. แมลง ก็เป็นศัตรูอีกตัวหนึ่งซึ่งจะมาทำลายต้นกก
การบำรุงรักษา
เมื่อเริ่มปลูกกกใหม่ๆ ควรต้องมีการคอยระวังหญ้าที่ขึ้นมาเบียดเบียนและแย่งอาหารจากต้นกก ถ้าหากมีหญ้าขึ้นเบียดมากแล้ว ก็จะทำให้กกแตกหน่อช้า และไม่งามเท่าที่ควรแล้วควรจะให้มีน้ำหล่อเลี้ยงบ้าง จึงจะได้กกที่งอกงามดีตลอดระยะเวลาในการปลูกนั้นจะต้อให้มีการใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยเคมี (ปุ๋ยที่ชาวบ้านเรียกว่า ปุ๋ยเม็ดโฟม) เพื่อบำรุงดินให้ต้นกกโตเร็วและได้ขนาดตามที่ต้องการเมื่อต้นกกโตพอสมควร แล้วก็ไม่ต้องดูแลรักษามากนัก รอจนกระทั่งต้นกกมีขนาดและอายุโตเต็มที่แล้ว ประมาณ ๓-๔ เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวต้นกกได้เลย
การเก็บเกี่ยวกก
เมื่อกกมีขนาดเละมีอายุโตเต็มที่แล้วก็สามารถเก็บเกี่ยวกกนั้นไปทำประโยชน์ได้ สำหรับการเก็บเกี่ยวนั้นใช้เคียวเกี่ยว ลักษณะการเกี่ยวก็เหมือนกับการเกี่ยวข้าว แต่การเกี่ยวกกนั้นจะเกี่ยวติดดิน ต้นกกที่เกี่ยวแล้วนั้นจะนำมาคัดขนาดให้ได้ความสั้นยาวที่เท่ากันเพื่อความ สะดวกในการทอ แล้วก็นำต้นกกไปตากแดด ระยะเวลาในการตากแดดประมาณ ๕-๗ วัน ตากจนแห้งสนิท
ขนาดของต้นกกที่พอตัด
การ ตัดต้นกกนั้น พอถึงเวลาตัดหรือต้นกกแก่ตัวแล้วก็เริ่มตัด การตัดก็ตัดเรียงหน้ากระดานไป พอตัดเสร็จก็ตากไปพร้อมกันเพราะประหยัดเวลาและไม่ยุ่งยากทีหลัง ระยะในการตัดกกจะดูที่ดอกกก คือถ้าดอกกกเป็นสีขาวหรือสีเหลืองก็ตัดได้แล้ว เมื่อตากเสร็จและแห้งแล้วค่อยคัดเลือกออกมาทีหลังต้นกก (ไหล) มีขนาดยาวที่สุดก็ประมาณ ๒ เมตร ๑ ๑/๒ เมตร ๑ เมตร และต่ำสุดก็ประมาณ ๗๐ เซนติเมตร กกชนิดนี้ถ้าลำเล็กจะไม่จักให้เป็นเส้น แต่ถ้าเป็นกกลำต้นใหญ่ก็ต้องจักให้เป็นเส้นเท่าขนาดลำต้นเล็ก การจักนั้นจะจักขนาดไหนก็แล้วแต่ความต้องการ ส่วนใหญ่ชาวบ้านป่าเลาจะใช้กก (ไหล) ที่มีลำต้นขนาดเล็กเพื่อไม่ต้องเสียเวลาในการจัก
เมื่อ ตัดกก (ไหล) และแยกขนาดแล้ว ถ้าลำต้นขนาดใหญ่ก็นำมาจักให้เป็นเส้นเล็กพอประมาณ ๔-๕ เส้น ส่วนลำต้นขนาดเล็กก็ไม่จัก ต้องดูขนาดของกก (ไหล) อีกที การจักนั้นจะต้องใช้มีปลายแหลมเพราะจะได้เส้นกกที่เป็นแนวเดียวกัน การจักนั้นถ้าเอาแต่เฉพาะผิวที่ติดเนื้อของกก (ไหล) ส่วนอยู่ข้างในของกกนั้นก็ทิ้งไป เมื่อจักได้เส้นกกแล้วจึงนำไปตากผึ่งแดดไว้ การตกกกนั้นก็ตากเกลี่ยกระจายไปบนราวไม้ไผ่ในแนวนอน ใช้เวลาตากประมาณ ๖-๗ วัน (แดดพอประมาณ) ถ้าแดดแก่ๆ ก็ตาก ๔-๕ วัน ก็ใช้การได้แล้ว เมื่อกกแห้งดีแล้วก็นำมามัดเป็นลำๆ เก็บรวบรวมไว้เป็นกองใช้ในการทอเสื่อต่อไป
การตากก
การ ตากกกของชาวบ้านป่าเลานั้น เมื่อเก็บเกี่ยวต้นกกเสร็จแล้วก็จะนำต้นกกไปตาก ซึ่งจะใช้บริเวณที่ดินว่างที่แสงแดดส่องได้ทั่วถึง การตากจะใช้เวลาประมาณ ๔-๕ วัน หรือประมาณ ๑๐ แดด ต้องคอยพลิกกลับไปกลับมา เมื่อกกแห้งดีแล้วก็นำมาคัดขนาด เสร็จแล้วก็มามัดเป็นกำๆ เก็บรวบรวมไว้ทอได้
ประโยชน์ของการตากแดด
• การตากกกกลางแดดนั้นจะช่วยให้กกแห้งเร็ว และเส้นกกห่อตัวเร็วขึ้นด้วย
• การตากกกด้วยการผึ่งลมนั้น กกจะแห้งช้าและบางทีเส้นกกอาจจะไม่ห่อตัวทั้งหมด และอาจจะมีราเกิดขึ้นได้
• การตากกกที่ทำการย้อมสีในทุกคราว ควรตากโดยการใช้กับราวไม้หรือราวเชือกขึงให้ตึงกับเสาหลัก และการตากนั้นให้เอาส่วนโคนห้อยลง เพื่อจะทำให้กกห่อตัวเร็วขึ้น
• การตากกก เมื่อเห็นว่าแห้งดีแล้ว ควรเก็บไปมัดไว้ให้เรียบร้อย อย่าให้ถูกน้ำเพราะจะทำให้กกขึ้นราได้
การเก็บรักษา
เมื่อ ตัดต้นกก ก็จะนำเส้นกกไปตากผึ่งแดดไว้ประมาณ ๕ แดด (แดดแก่ๆ) หรือประมาณ ๕ วัน การตากแดดนั้นต้องให้แห้งสนิท ถ้าไม่แห้งจะทำให้เส้นกกเป็นรา เมื่อเส้นกกแห้งก็นำมาแยกขนาด แล้วนำมามัดเป็นกำๆ ซึ่งจะเก็บไว้ใต้ถุนบ้านที่มีลมโกรกเต็มที่
เครื่องมือและอุปกรณ์การทอเสื่อกก
๑. โครงไม้เครื่องทอ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ค้าง (อ่าน “ ก๊าง ” )
๒. ฟืม ใช้สำหรับอัดเส้นกก
๓. ไม้กระสวยสำหรับพุ่งเส้นกก ยาวประมาณ ๒ เมตร ปลายของไม้ด้านหนึ่งเรียว และที่ปลายสุดบากเป็นง่ามไว้เล็กน้อยสำหรับพับเส้นกกให้ติดกับปลายไม้ขณะ พุ่ง
๔. ไม้คาน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ นิ้ว สำหรับผูกเงื่อนไหมส่วนที่ขึงมาบรรจบกัน ยาวประมาณ ๑.๘๐ เมตร
๕. ลิ่มไม้ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ไม้จิ๋ม เพื่อหมุนคานล่างขึ้นตามช่องที่เจาะไว้
๖. ไหมทอ ใช้สำหรับทำเอ็นเสื่อ
๗. ใบมีด ใช้สำหรับตัดไหมเมื่อทอเสื่อเสร็จ
๘. กรรไกร ใช้สำหรับตัดแต่งขอบเสื่อ
ขนาดของเสื่อที่ใช้ในการทอในหมู่บ้าน
ขนาดเส้นด้าย ๑๘ เส้น หรือ ๑๘ รูฟืม เท่ากับ ๓๖ นิ้ว
ขนาดเส้นด้าย ๒๒ เส้น หรือ ๒๒ รูฟืมเท่ากับ ๔๔ นิ้ว
ขนาดเส้นด้าย ๒๖ เส้น หรือ ๒๖ รูฟืมเท่ากับ ๕๒ นิ้ว
หลักการทอเสื่อกก (ไหม)
๑. การวางเส้นเอ็นหรือเส้นไหม
การวางเส้นเอ็นจากฟืมทางซ้ายไปก่อน รูแรกร้อยเส้นเอ็นเป็นคู่จากหัวฟืม จะใช้ตอกไม้ไผ่มัดเอาไว้ลอดตามความยาวของฟืมพอถึงหางก็มัดกับราวไม้ไผ่ไว้ รูแรกร้อยเป็นเส้นคู่ แต่มาร้อย ๑ เส้นตามธรรมดาจนครบรูฟืม พอถึงรูไหนก็ต้องเอาตอกมัดไว้เหมือนกัน
๒. การทอเสื่อกกเป็นผืน
การทอ เสื่อกก ต้องทอช่วยกัน ๒ คนจึงจะทำได้ เพราะคนหนึ่งเป็นคนพุ่งกก (ไหล) เข้าฟืม อีกคนคอยนั่งกระทบฟืมคนนั่งกระทบฟืมต้องนั่งระหว่างกลาง (หาไม้ยาวๆ ที่แข็งแรงพอที่จะนั่งได้) เพื่อคอยกระทบฟืม การกระทบฟืมต้องนั่งตามสะดวกไม่ต้องเกร็งตัวเพราะจะทำให้เหนื่อยง่าย การกระทบฟืมต้องหงายทีมคว่ำที ส่วนคนพุ่งนั่งข้างขวาของคนนั่งกระทบฟืมเพื่อความสะดวกและคล่องตัว มีเส้นกก(ไหล) วางไว้ข้างหน้าเพื่อความสะดวก คนที่คอยพุ่งเส้นกกนั้นต้องมีสมาธิและชำนาญพอสมควร ก่อนจะทอก็ต้องเอาน้ำพรมเส้นกกก่อนเพื่อให้กกอ่อนตัวและทอได้ง่าย คนพุ่งกกต้องอาศัยไม้ส่งเส้นกก (ไหล) เข้าฟืม ซึ่งไม้นั้นทำด้วยไม้ไผ่ ยาวประมาณ ๑ เมตร เป็นรูปแบนๆ ตรงกลางแหลมและเป็นร่องนิดหนึ่ง (หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากระสวยพุ่งฟืมเสื่อกก) ถ้าใช้กกที่ย้อมสีและทำเป็นลายปักจับก็นับจำนวนเส้นกกเอาเอง และประมาณเอาว่าจะเอาลายปักจับขนาดใหญ่หรือเล็กแล้วแต่ความพอใจของคนทั้งสอง ทำแบบนี้จนเสร็จเป็นผืนเสื่อ การที่พุ่งเส้นกกเข้าแต่ละเส้นนั้น คนที่กระทบฟืมต้องพับเส้นกกเข้าใต้เส้นเอ็นหรือเก็บริมกกตลอดจนทอเสร็จ
๓. เมื่อทอเสร็จแล้ว เก็บริมกกเสร็จทั้งสองข้าง ก็จัดการเอามีดตัดเส้นกกที่พับไว้ หรือเก็บริมออก แล้วแต่จะสั้นหรือยาวตามความพอใจให้เรียบร้อย การตัดแบบนี้ทำข้างไหนก่อนก็ได้
กรรมวิธีการทอเสื่อในหมู่บ้าน
๑. เตรียมอุปกรณ์ในการทอเสื่อให้พร้อม
๒. เอาไม้จิ๋มหรือลิ่มไม้ หนุนคานอันล่างขึ้นตามช่องไม้ที่เจาะไว้ทั้ง ๒ ข้าง
๓. ร่อนไหมไปบนค้างทอเสื่อ (โครงไม้เครื่องทอ) ด้านบนและด้านล่าง แล้วสอดเข้ารูฟืม มัดไหมกับไม้หาบ(คาน)ให้ตึง
๔. เมื่อมัดไหมจนครบรูฟืมแล้ว ก็ปลดเอาไม้จิ๋ม (ลิ่มไม้) ออกทั้ง ๒ ข้าง
๕. ทำข้อ ๑-๓ เสร็จเรียบร้อยแล้ว
๖. การทอเสื่อจะใช้คนทอ ๒ คน คนที่พุ่งเส้นกกก็เอาปลายกกพันให้ติดกับปลายไม้ร่อนแล้วก็พุ่งเข้าไปตามช่อง เส้นไหม แล้วก็จะชักเอาไม้ร่อนออก ปล่อยให้เส้นกกค้างอยู่ในระหว่างเชือก ส่วนคนกระทบฟืมก็จะกระทบฟืมอัดเส้นกกไปตามเส้นไหม แล้วก็ยกฟืมหงายขึ้น หงายฟืมค้างไว้ แล้วใช้มือซ้ายพับปลายเสื่อ และคนร่อนกกก็พุ่งกกมาอีก คนกระทบฟืมก็อัดเส้นกกและยกฟืมขึ้น คว่ำฟืมค้างไว้ ใช้มือขวาพับปลายเสื่อทำอย่างนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนได้เสื่อตามขนาดที่ต้องการ
๗. เมื่อทอเสร็จตามขนาดที่ต้องการแล้ว ก็ใช้มีดโกนตัดเอาไหมออกแล้วก็มัดไหมให้แน่น แล้วก็ปลอดเอาลิ่มออก จากนั้นก็ใช้กรรไกรตัดปลายเสื่ออกให้เรียบร้อย
ระยะเวลาการทอเสื่อกก
สำหรับ ระยะเวลาในการทอเสื่อ ๑ ผืน สามารถใช้เวลาในการทอประมาณ ๓๐ นาที คนที่มีความชำนาญและมีเวลาว่างในการทอเสื่ออย่างเต็มที่ ก็สามารถทอเสื่อได้ประมาณวันละ ๑๕ – ๒๐ ผืน ส่วนคนที่ไม่ค่อยชำนาญ หรือไม่ค่อยมีเวลาในการทอเสื่อ ก็สามารถทำได้วันละไม่ต่ำกว่า ๑๐ ผืน
การทอเสื่อของแต่ละคนนั้น ไม่สามารถจะบอกได้ว่าแต่ละคนจะใช้เวลาในการทอเสื่อประมาณกี่นาที และวันหนึ่งๆ จะสามารถทอได้กี่ผืน แล้วแต่ความชำนาญของแต่ละคน
ราคาและค่าจ้างการทอเสื่อกก (ในระยะ พ.ศ.๒๕๓๗)
สำหรับ ค่าจ้างในการทอเสื่อกกในบ้านป่าบงงาม จะนิยมจ้างทอผืนละ ๔ บาท ราคารที่จ้างนั้นจะเท่ากันทุกขนาด ไม่ว่าเสื่อนั้นจะมีขนาดใหญ่ กลางหรือเล็ก ก็จะจ้างในราคาที่เท่ากัน
ราคาของเสื่อกกนั้น เสื่อแต่ละผืนนั้นจะมีราคาไม่เท่ากันแล้วแต่ขนาดของเส้นด้าย
ขนาดเส้นด้าย ๑๘ เส้น(๑๘ รูฟืม) ราคาผืนละ ๗ บาท
ขนาดเส้นด้าย ๒๒ เส้น(๒๒ รูฟืม) ราคาผืนละ ๑๐ บาท
ขนาดเส้นด้าย ๒๖ เส้น(๒๖ รูฟืม) ราคาผืนละ ๑๕ บาท
การลงทุน
สำหรับการลงทุนในการผลิตเสื่อกกนั้น การลงทุนของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าใครจะเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แต่ค่าใช้จ่ายในการผลิตเสื่อกกที่นำมาเขียนนี้ เป็นการลงทุนที่ผู้ผลิตเสื่อกกได้ลงทุนไปแล้ว
สำหรับการลงทุนการทอเสื่อกก ๑ ผืนนั้น จะใช้ทุนประมาณ ดังนี้
จะใช้กก ๑.๓-๑.๗ กิโลกรัมๆละ ๔ บาท ประมาณ ๗ บาท เส้นไหม ๒ บาท รวมเงินค่าลงทุนการทอเสื่อกก ๑ ผืน เป็นเงิน ๙ บาท
ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการผลิตเสื่อกก
๑. ค่าไถ ๑๗๐ บาทต่อไร่ ๒. ค่าปุ๋ย ๖๐๐ บาทต่อไร่ ๓. ค่าไหมทอ ๓๐๐ บาทต่อไร่ ๔. ค่าแรงทอ ๘๐๐ บาทต่อไร่(ผืนละ ๔ บาท)
๕. ค่าแรงปลูก ๑๐๐ บาทต่อไร่ ๖. ค่าแรงเกี่ยวกก ๖๐๐ บาทต่อไร่ รวม ๒,๕๗๐ บาทต่อไร่
• สาดบ่าง
สาดบ่าง เป็นเสื่อที่พบว่าใช้มากในกรณีที่ผู้เฒ่าผู้แก่ไปนอนวัดหรือไปรักษาศีลที่ วัด ซึ่งผู้เฒ่าหรือลูกหลานจะใช้ไม้คานหาบสาแหรก ด้านหนึ่งบรรจุคนโทพร้อมจอก และอีกด้านหนึ่งจะเป็นสาดบ่างที่ม้วนเอาหมอนมุ้งและผ้าห่มไว้ภายในดังเรียก ว่า หาบครัวนอนวัด
สาดบ่าง คงเรียกชื่อตามรูปลักษณะของสาดชนิดนี้ คือมี ๒ แผ่นประกบติดกันอยู่ เมื่อดึงดูจะเป็นบ่าง ๒ บ่าง สาดบ่างทำจากพืชที่เรียกว่า สาด หรือ สาดตองขาว คือ ต้นกล้าที่มักปลูกหรือทิ้งไว้ให้ขึ้นอยู่ตามสวนหลังบ้าน มีลักษณะเป็นเหง้าหรือลำต้นอยู่ใต้ดิน แทงกิ่งชูก้านสีเขียวแก่เป็นมัน ใบเป็นใบขนาดใหญ่ ซึ่งนิยมใช้ตองสาด (อ่าน “ ต๋องสาด ” ) คือใบของพืชนี้ห่อของอีกด้วย
การทำ
นำเอาต้นของพืชชนิดนั้นมาจักหรือฉีกเป็นตอก ความกว้างประมาณ ๐.๕ เซนติเมตร ขูดไส้ออกให้เหลือแต่ผิวแล้วนำไปตากให้แห้ง จากนั้นจึงนำมาสานด้วย “ ลายสอง ” เมื่อสานได้ขนาดความกว้างยาวตามต้องการแล้วก็พับเสียบริม เสื่อแบบนี้จะสานเป็น ๒ ผืนให้มีขนาดเท่ากัน จากนั้นจึงนำเอา ๒ บ่างหรือ ๒ ผืนนั้นมาประกบกันแล้วร้อยด้วยเส้นด้าย ทั้งนี้เพื่อจะสามารถใช้งานได้ทั้งสองด้าน สาดบ่างมีราคาแพงกว่าสาดชนิดอื่น
การใช้งาน
สาดบ่าง เป็นสาดชนิดดี เนื้อเรียบและนิ่ม ใช้ปูนั่งหรือปูนอนซึ่งจะพบการใช้งานดังนี้
๑. ใช้ปูเตียงนั่งและเตียงนอนสำหรับพระสงฆ์
๒. ใช้ปูนั่ง นอน สำหรับเจ้านายหรือพระเถระ คู่กับหมอนผาคือหมอนสำหรับพิง ที่มักจะพูดคู่กันว่า สาดบ่างหมอนผา
๓. ใช้สำหรับคนแก่ผู้มีอาวุโส นำติดตัวไปปูนั่งฟังเทศน์ปูนั่งกรรมฐาน ปูนอนวัด จำศีลในกลางพรรษา
๔. ปูรองรับศพ ทั้งในหรือนอกโลงศพ
การเก็บ
สาดบ่าง ต้องมีการบำรุงรักษาเพื่อให้ใช้ได้ทน เมื่อใช้แล้วต้องเช็คถูด้วยผ้าชุบน้ำทุกครั้ง แล้วจึงนำไปผึ่งลมให้แห้งจากนั้นจึงม้วนกลมผูกด้วยตอก หรือเศษผ้า สมัยก่อนคนแก่หรือคนที่มีอายุมาก ท่านจะจัดเตรียมสาดชนิดนี้ไว้กับบ้านเรือนเสมอ หากท่านเสียชีวิตลงลูกหลานจะได้มีเสื่อปูให้ศพของท่านได้นอนบนเสื่อดังกล่าว
• สาดไม้ผิว
เสื่อแบบนี้เรียกชื่อตามวัสดุที่ทำ คือผิวไม้ไผ่ จึงเรียกชื่อว่า สาดไม้ หรือสาดไม้ผิว มีขนาดความยาวตามลักษณะการใช้งาน
วิธีทำ
ใช้ ไม้ไผ่ซาง หรือ ไม้ไผ่สีสุก ที่มีอายุไม้ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไปแล้วนำมาตัดเป็นท่อน แต่ละท่อนยาวประมาณ ๒ เมตร จากนั้นจึงผ่าไม้ออกเป็นกีบ ความกว้างของกีบประมาณ ๑.๕ เซนติเมตร แล้วจักเอาเฉพาะผิวของไม้เท่านั้น คือไม้ ๑ กีบ ได้ตอก ๑ เส้น จากนั้นจึงนำไปตากแดดให้แห้ง เพื่อรอการสานต่อไป
การสาน
เมื่อจะสานเสื่อ ให้เอาตอกผิวไปแช่น้ำก่อน ประมาณ ๑๐ นาที เพื่อให้ตอกเหนียว จากนั้นจึงทำการสานด้วย “ ลายสอง ” ในการสานตอกแต่ละเส้นจะต้องใช้เหล็กแบนบาง ทอย (อ่าน “ ตอย ” ) คือกระแทกให้ตอกประสานกันสนิทแน่นเพราะลำพังเพียงแต่ใช้มือไม่สามารถดันตอก ให้เข้าที่ได้ และยังจะทำให้เจ็บมือหรือตอกบาดมือได้ง่าย เมื่อสานแล้วก็พับริมให้ตรง
การใช้
สาดไม้ผิวจะมีความทนทานสูง เพราะทำจากส่วนผิวของไม้ไผ่ ใช้ปูให้คนนั่ง ปูพื้นบ้าน ปูกับดินสำหรับนั่งทำงานบนพื้นดิน อย่างไรก็ตาม สาดไม้ผิวเวลาที่ปูนั่งปูนอนจะเจ็บที่เท้าที่หลัง สาดไม้ผิวยังใช้ตากพืชผลการเกษตร ใช้ปูโรงครัวชั่วคราวเมื่อมีงาน ปูกับพื้นดินจะทนมากกว่าสาดอื่น การเก็บรักษาเสื่อชนิดนี้ใช้วิธีปูเรียงกันไว้บนพื้นเรียบ ห้ามพับหรือม้วนเพราะจะทำให้หักได้ง่าย
สาดแอย่ง (อ่าน “ สาดแหย่ง ” )
สาแอย่ง เป็นเสื่อที่สานจากต้นคล้าซึ่งเป็นพรรณไม้ล้มลุก ชนิด Schumannianthus dichotomus Gagnep. ในวงศ์ MARANTACEAE ลำต้นสูงประมาณ ๑-๒ เมตร ชอบขึ้นในที่ลุ่มหรือที่ชื้นแฉะ แตกแขนงตามลำต้น ใบกว้าง ลำต้นกลมสีเขียวผิวมัน เมื่อโตเต็มที่มีความสูงประมาณ ๒ เมตร นิยมใช้ลำต้นของพรรณไม้นี้ที่มีอายุ ๑ ปีขึ้นไปมาสานเป็นเสื่อ เรียกว่า สาดแอย่ง ไปสานด้วยลายสองเป็นผืนขนาดต่างๆ เมื่อใช้สาดชนิดนี้ไปนานๆ แล้ว ผิวจะออกเป็นสีน้ำตาลและมันนิยมใช้ปูในส่วนที่รับภาระมากและไม่ต้องการความ ประณีตเท่าสาดตองขาว
การตัดต้นแหย่ง
ถึงปลายฤดูหนาว หรือต้นฤดูร้อน เมื่อว่างเว้นจากกิจกรรมการทำนา จะเป็นช่วงที่มีการตัดต้นแอย่ง (ต้นคล้า) เพื่อนำมาสานเป็นสาด การตัดแอย่งจะคัดเลือกเอาต้นแอย่งที่มีอายุ ๑ ปีขึ้นไป โดยใช้มีดตัดที่โคนต้นและปลายทิ้ง อย่าให้เหลือตอสูงเกินไปเพราะจะทำให้การแตกหน่อของแอ ย่งน้อยลง ส่วนกิ่งของแอย่งที่มีควายยาวยังเก็บไว้ต่อกันสานเสื่อแอย่งผืนเล็กๆ ได้อีก
เมื่อตัดแอย่งกองไว้แล้วก็มาคัดขนาดสั้นยาวของแอย่งแต่ละต้น แอ่งที่มีขนาดยาวเอากองรวมไว้ที่หนึ่ง แอย่งที่มีขนาดสั้นก็กองไว้อีกที่หนึ่ง แล้วจึงจักเอาเปลือกของแอย่งเป็นตอกผูกมัดแอย่งเป็นมัดๆ นำไปกองไว้ในที่จะทำให้ขึ้นตอนต่อไป เช่น ใต้ต้นไม้ หรือใต้ถุนเรือน เป็นต้น
การหักแอย่ง
เมื่อตัดแอย่งตามขนาดไว้แล้วก็เริ่มจักโดยใช้มีดเหน็บผ่าต้นแอย่งออกเป็นสองซีก แล้วนำเอาต้นแอย่งที่ผ่าครึ่งนั้นมาหักกับตอหลักไม้ไผ่ที่ตอกหรือฝังไว้กับ ดิน หลักสูงจากดินประมาณ ๕๐ เซนติเมตร เมื่อจะหักให้หันด้านที่เป็นผิวของแอย่งเข้ามาหาตัวแล้ว จึงหักให้ส่วนในคือเยื่อหักออกจากกันเป็นท่อน หักครั้งหนึ่งยาวประมาณ ๑๐ – ๑๕ เซนติเมตร ใช้มือซ้ายช่วยดึงเอาส่วนในของแอย่งออกเป็นท่อนๆ เมื่อหักเอาส่วนในอกหมดแล้วก็จะได้ตกแอย่งเป็นเส้นๆ ตามความยาวของต้นแอย่ง ความกว้างของตอกแอย่งประมาณ ๒-๓ เซนติเมตร แล้วแต่ความใหญ่ของต้น จากนั้นจึงนำดอกผิวแอย่งไปตากแดดให้แห้ง เก็บไว้ที่ร่มเพื่อเตรียมสานต่อไป
การสานสาด
การสานสาดแอย่งนิยมสานกับพื้นดิน เพราะมีพื้นที่กว้างใต้ถุนเรือนเป็นสถานที่ดีที่สุด ก่อนจะลงมือสาน ให้นำเอาตอกผิวแอย่งไปแช่น้ำให้แอย่งคืนตัวออกเป็นแผ่นและเพื่อตอกนั้นจะได้ เหนียวนุ่มไม่หักในเวลาที่สาน การสานใช้สานด้วย “ ลายสอง ” คือยกสองเส้นข่มสองเส้นนั้นเอง เมื่อสานจนเห็นว่าตอกของทุกด้านเหลือประมาณ ๑๐ เซนติเมตร แล้วก็หยุดเพื่อทำการ “ เม้มริม ” คือเอาเงื่อนตอกเสียบเก็บไว้ที่ท้องของผืนสาด เป็นอันเสร็จการสาน ด้วยการได้เสื่อที่มีขนาดตามความต้องการ
การใช้
สาดแอ ย่งใช้ได้ดีในทุกสถานที่ ตั้งแต่สถานที่สูงจนถึงต่ำ ใช้ปูพื้นบ้านพื้นเรือน ปูในโบสถ์วิหารเพื่อศรัทธาได้นั่งฟังเทศน์ทำบุญ ปูนั่งปูนอนบนร้าน ปูทำงานต่างๆ ทั้งในวัดและในบ้าน ปูพื้นดินในโรงครัวชั่วคราวเมื่อมีงาน คุณภาพพิเศษของเสื่อชนิดนี้ คือเมื่อปูนั่งหรือนอนจะมีความเญ้นกว่าเสื่อชนิดอื่นเพราะมีช่องถ่ายเทอากาศ ดี และยังเป็นเสื่อที่ทนทานแข็งแรง ถ้าใช้ปูบนเรือนไม่เคลื่อนย้ายบ่อยจะอยู่ทนได้เป็น ๑๐ ปีขึ้นไป การเก็บเสื่อหลังการใช้แล้วให้เก็บซ้อนเรียงกันไว้ เอาขนาดใหญ่ไว้ข้างล่าง เรียงขึ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ถ้ามีการขนย้ายหรือมีการยืมไปใช้ให้ม้วนแล้วผูกแบกไปครั้งละ ๒-๓ ผืน
สาดวง
สาดวง เป็นเสื่อกว้างประมาณ ๑ ศอก ยาวประมาณ ๔ วา ใช้กรุในเรือนล้อโดยใช้คู่กับสาดถุ้งอีกต่อหนึ่ง คือเมื่อปูสาดถุ้งกับเรือนล้อแล้ว ใช้สาดวงเวียนรอบๆ ข้างของเรือนล้อ ๑ รอบ เพื่อกันมิให้เมล็ดพืชไหลออกปทางด้านข้าง
เสื่อแบบนี้จะใช้ไม้เฮี้ยสานด้วยลายสองเหมือนกับสาดคะลาและสาดถุ้ง ปกติเมื่อไม่ใช้งานแล้วก็จะม้วนสาดชนิดนี้ไว้เสมอ โดยมีไม้กระบอกที่แต่งด้านข้างทำเป็นไม้หนีบไว้ ส่วนสาดถุ้งนั้นยังคงปูอยู่ในเรือนเกวียนจนกว่าจะสิ้นภารกิจจึงจะนำไปเก็บ
• สาดหยาบ (อ่าน “ สาดหญาบ ” )
สาด หยาบ เป็นชื่อเรียกสาดชนิดหนึ่ง เป็นสาดขนาดสั้น กว้างประมาณ ๘๐-๑๐๐ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๑๕๐ เซนติเมตร ทำจากต้นหย้าสะลาบหรือกกสามเหลี่ยม โดยการจักต้นหญ้าออกเป็นเส้นๆ แล้วนำไปตากให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วความกว้างของเส้นประมาณครึ่งเซนติเมตร คือเป็นเส้นแบนๆ และไม่รูดเหลาด้วยรูสังกะสี แต่จะนำไปทอตามเส้นที่จักไว้อย่างนั้น จึงมีขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง การทอจึงทำได้เร็ว ทำให้มีราคาถูก มีน้ำหนักเบา แต่ไม่ทนทาน มีเนื้อหยาบ ถูกน้ำจะเสียเร็ว
การใช้งาน
ใช้ปูนั่งปูนอน ปูพื้นร้านที่นั่งทำงาน ใช้เป็นสาดประกอบขันตั้งคือขันครู ที่พูดกันว่า “ สาดใหม่ หม้อใหม่ ” ใช้ปูให้ศพนอนหรือปูเมื่อบรรจุศพในโลง
|